10 อันดับนักฟุตบอลที่หล่อที่สุดในโลก จากการจัดอันดับปี 2015
วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559
FinalDetail2
อุปกรณ์ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการเคมี
1.ขวดปริมาตร
ขวดปริมาตร เป็นเครื่องมือที่ใช้เตรียมสารละลายมาตรฐานหรือสารละลายที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าสารละลายเดิมได้ ขวดปริมาตรมีหลายขนาดและมีความจุต่าง ๆ กัน เช่น ขนาด 50 มล. 100 มล. 250 มล. 500 มล. 1,000 มล. และ 2,000 มล. เป็นต้น แบ่งตามรูปร่างและลักษณะการใช้ได้ดังต่อไปนี้
1. ขวดปริมาตรฟลอเรนส์ (Florence Flask) หรือเรียกว่า Flat Bottomed Flask มีลักษณะคล้ายลูกบอลลูน มักจะใช้สำหรับต้มน้ำ เตรียมแก๊ส และเป็น wash bottle
2. ขวดปริมาตรก้นกลม (Round Bottom Flask) ขวดปริมาตรชนิดนี้มีลักษณะเหมือนกับ Florence Flask แต่ตรงก้นขวดจะมีลักษณะกลมทำให้ไม่สามารถตั้งได้
3. ขวดปริมาตรทรงกรวย (Erlenmeyer Flask หรือ Conical Flask) ขวดปริมาตรชนิดนี้มีลักษณะเป็นทรงกรวย และมีความจุขนาดต่าง ๆ กัน แต่ที่นิยมใช้กันมากมีความจุเป็น 250-500 มล. สามารถใช้ได้ในหลายกรณี เช่น ในการไตเตรท
4. ขวดปริมาตรกลั่น (Distilling Flask) ขวดปริมาตรชนิดนี้นิยมใช้ในการกลั่นของเหลว
5. Volumetric Flask ขวดปริมาตรชนิดนี้มีลักษณะเป็นขวดคอยาวที่มีขีดบอกปริมาตรบนคอขวดเพียงขีดเดียว นิยมใช้ในการเตรียมสารละลาย โดยทั่วไปจะนำสารนั้นมาละลายในบีกเกอร์ก่อนที่จะเทลงในขวดปริมาตรโดยใช้กรวยกรอง แล้วเทน้ำล้างบีกเกอร์หลาย ๆ ครั้งด้วยตัวทำละลายแล้วเทลงในกรวยกรอง เพื่อล้างสารที่ติดอยู่ให้ลงในขวดให้จนหมด อย่าให้สารละลายใน volumetric flask มีเกิน 2 ใน 3 ของปริมาตรทั้งหมด เทตัวทำละลายลงในขวดโดยผ่านกรวยอีก เพื่อเป็นการล้างกรวย จนขวดมีปริมาตรถึงขีดบอกปริมาตร
การเตรียมสารละลายโดยใช้ขวดปริมาตรมีเทคนิคการทำดังนี้
1. ละลายสารในขวดปริมาตรให้มีปริมาตรประมาณ
3/4 ของขวด
ปิดจุกขวดแล้วหมุนขวดปริมาตรด้วยข้อมือให้สารละลายไหลไปทางเดียวกัน
เพื่อให้สารในขวดละลายจนหมด (ในกรณีที่สารเป็นของแข็ง)
หรือให้สารผสมเป็นเนื้อเดียวกัน (ในกรณีที่สารเป็นของเหลว) ควรจับที่คอขวดปริมาตร
อย่าจับที่ตัวขวดปริมาตรเพราะจะทำให้สารละลายอุ่นขึ้นเนื่องจากความร้อนในมือ
2. เติมตัวทำละลายลงในขวดปริมาตรให้ส่วนโค้งเว้าต่ำสุดของสารละลายอยู่ตรงขีดบอกปริมาตร การอ่านปริมาตรต้องให้ระดับสายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับขีดบอกปริมาตร เพื่อป้องกันการอ่านปริมาตรผิด
3. ปิดจุกขวดปริมาตรแล้วคว่ำขวดจากบนลงล่าง ทำแบบนี้ 2-3 ครั้ง เพื่อให้สารละลายผสมเป็นเนื้อเดียวกัน และมีเนื้อสารเท่าเทียมกันทุกส่วน
4. จากข้อ 3 กลับขวดปริมาตรให้อยู่ในลักษณะเดิม แล้วจับคอขวดหมุนไปมาประมาณ 3 รอบ ทำซ้ำจนแน่ใจว่าสารละลายผสมเป็นเนื้อเดียวกัน
2. เติมตัวทำละลายลงในขวดปริมาตรให้ส่วนโค้งเว้าต่ำสุดของสารละลายอยู่ตรงขีดบอกปริมาตร การอ่านปริมาตรต้องให้ระดับสายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับขีดบอกปริมาตร เพื่อป้องกันการอ่านปริมาตรผิด
3. ปิดจุกขวดปริมาตรแล้วคว่ำขวดจากบนลงล่าง ทำแบบนี้ 2-3 ครั้ง เพื่อให้สารละลายผสมเป็นเนื้อเดียวกัน และมีเนื้อสารเท่าเทียมกันทุกส่วน
4. จากข้อ 3 กลับขวดปริมาตรให้อยู่ในลักษณะเดิม แล้วจับคอขวดหมุนไปมาประมาณ 3 รอบ ทำซ้ำจนแน่ใจว่าสารละลายผสมเป็นเนื้อเดียวกัน
2.บีกเกอร์
บีกเกอร์มีหลายขนาดและมีความจุต่างกัน
โดยที่ข้างบีกเกอร์จะมีตัวเลขระบุความจุของบีกเกอร์
ทำให้ผู้ใช้สามารถทราบปริมาตรของของเหลวที่บรรจุอยู่ได้อย่างคร่าวๆ
และบีกเกอร์มีความจุตั้งแต่ 5 มิลลิเมตรจนถึงหลายๆลิตร
อีกทั้งเป็นแบบสูง แบบเตี้ย และแบบรูปทรงกรวย (conical beaker) บีกเกอร์จะมีปากงอเหมือนปากนกซึ่งเรียกว่า spout ทำให้การเทของเหลวออกได้โดยสะดวก
spout ทำให้สะดวกในการวางไม้แก้วซึ่งยื่นออกมาจากฝาที่ปิดบีกเกอร์
และ spout ยังเป็นทางออกของไอน้ำหรือแก๊สเมื่อทำการระเหยของเหลวในบีกเกอร์ที่ปิดด้วยกระจกนาฬิกา
(watch grass)
การเลือกขนาดของบีกเกอร์เพื่อใส่ของเหลวนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณของเหลวที่จะใส่
โดยปกติให้ระดับของเหลวอยู่ต่ำกว่าปากบีกเกอร์ประมาณ 1
– 1 1/2 นิ้ว
ประโยชน์ของบีกเกอร์
1. ใช้สำหรับต้มสารละลายที่มีปริมาณมากๆ
2. ใช้สำหรับเตรียมสารละลายต่างๆ
3. ใช้สำหรับตกตะกอนและใช้ระเหยของเหลวที่มีฤทธิ์กรดน้อย
1. ใช้สำหรับต้มสารละลายที่มีปริมาณมากๆ
2. ใช้สำหรับเตรียมสารละลายต่างๆ
3. ใช้สำหรับตกตะกอนและใช้ระเหยของเหลวที่มีฤทธิ์กรดน้อย
3.กระบอกตวง
ระบอกตวงมีขนาดต่างๆ กัน ตั้งแต่ 5
มิลลิลิตรจนถึงหลายๆ ลิตร
ใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับวัดปริมาตรของของเหลวที่มีอุณภูมิไม่สูงกว่าอุณภูมิของห้องปฏิบัติการ
กระบอกตวงไม่สามารถใช้วัดของเหลวที่มีอุณภูมิสูงได้เนื่องจากอาจจะทำให้กระบอกตวงแตกได้
กระบอกตวงจะบอกปริมาตรของของเหลวอย่างคร่าว ๆ
ถ้าต้องการวัดปริมาตรที่แน่นอนต้องใช้อุปกรณ์วัดปริมาตรอื่นๆ เช่น ไพเพทหรือบิวเรท
โดยปกติความผิดพลาดของกระบอกตวงเมื่อมีปริมาตรสูงสุดจะมีประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ กระบอกตวงขนาดเล็กใช้วัดปริมาตรได้ใกล้เคียงความจริงมากกว่ากระบอกตวงขนาดเล็กวิธีอ่านปริมาตรของของเหลวในกระบอกตวงนั้นสามารถทำได้โดยการยกกระบอกตวงให้ตั้งตรงและให้ท้องน้ำอยู่ในระดับสายตา
และอ่านค่าปริมาตร ณ จุดต่ำสุดของท้องน้ำ
4.กระจกนาฬิกา
กระจกนาฬิกามีรูปทรงคล้ายกระจกนาฬิกาเรือนกลม
มีหลายขนาดขึ้นอยู่กับความยาวของเส้นผ่าศูนย์กลาง
กระจกนาฬิกาใช้สำหรับปิดบีกเกอร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ เพื่อป้องกันสารอื่นๆ
หรือฝุ่นระอองตกลงในสารละลายที่บรรจุอยู่ในบีกเกอร์และใช้ป้องกันสารละลายกระเด็นออกจากบีกเกอร์เมื่อทำการต้มหรือระเหยสารละลาย
5.ขวดชั่ง
ขวดชั่งมีลักษณะเป็นขวดเล็กๆ
ก้นแบนและข้างตรงที่ปากและขอบของจุกเป็นแก้วฝ้า ขวดชั่งมีหลายแบบทั้งแบบทรงสูง
แบบทรงเตี้ย และแบบทรงกรวย
และยังมีหลายขนาดขึ้นอยู่กับปริมาตรหรือความสูงกับเส้นผ่าศูนย์กลางของปาก
ขวดชั่งใช้สำหรับใส่สารที่จะนำไปชั่งด้วยเครื่องชั่งแบบวิเคราะห์
6.หลอดหยด
หลอดหยดมีลักษณะเป็นหลอดแก้วที่ปลายข้างหนึ่งยาวเรียวเล็ก
และปลายอีกข้างหนึ่งมีกระเปาะยางสวมอยู่
หลอดหยดใช้สำหรับดูดรีเอเจนต์จากขวดไปหยดลงในหลอดทดสอบที่มีสารอื่นบรรจุอยู่
เพื่อใช้ในการดูปฏิกิริยาเคมีของรีเอเจนต์นั้นๆข้อควรระวังในการใช้หลอดหยดก็คือ
: อย่าให้ปลายของหลอดหยดกระทบหรือแตะกับปากหลอดทดสอบ
7.แท่งแก้วคนสาร
แท่งแก้วใช้สำหรับคนสารละลายให้ผสมกันเป็นเนื้อเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ
หรือใช้เมื่อจะเทสารละลายจากภาชนะหนึ่งลงในภาชนะอีกชนิดหนึ่ง
โดยจะเทสารละลายให้ไหลไปตามไม้แก้ว ไม้แก้วที่มียางสวมอยู่ปลายข้างหนึ่งเรียกว่า Policeman
จะใช้สำหรับปัดตะกอนที่เกาะอยู่ข้างๆ
ภาชนะและถูภาชนะให้ปราศจากสารต่างๆ ที่เกาะอยู่ข้างๆ ยางสวมนั้นต้องแน่น
8.บิวเรต
บิวเรต (buret หรือ burette) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการไทเทรต
มีลักษณะเป็นหลอดแก้วที่มีขีดบอกปริมาตรและมีวาล์วสำหรับเปิด-ปิด
เพื่อควบคุมการปล่อยสารละลายภายในหลอดที่ใช้ในการทำปฏิกิริยา
จึงทำให้สามารถวัดปริมาตรสารที่ใช้ไปในการทดลองได้ อย่างแม่นยำ
ขนาดที่นิยมใช้โดยทั่วไปในห้องปฏิบัติการคือ 25 ml. หรือ 50 ml.
9.ชามระเหย
ชามระเหยมีขนาดต่างๆ
กับขึ้นอยู่กับความจุหรือความยาวของเส้นผ่าศูนย์กลาง
ชามระเหยส่วนมากเคลือบทั้งด้านในและด้านนอก
แต่บางทีเคลือบเฉพาะด้านในด้านเดียวเพื่อทำให้ราคาถูกลง
ชามระเหยส่วนมากใช้สำหรับระเหยของเหลวจนแห้ง และเผา ณ อุณภูมิที่สูงกว่า 100
องศาเซลเซียส
10.แปรง
แปรงใช้สำหรับทำความสะอาดอุปกรณ์ชนิดต่างๆ
แปรงล้างเครื่องแก้วมีหลายขนาดและมีหลายชนิด
ควรจะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะของเครื่องแก้วนั้นๆ เช่น Test
Tube Brush ใช้สำหรับทำความสะอาดหลอดทดสอบ Flask Brush ใช้สำหรับทำความสะอาดขวดปริมาตร และ Buret Brush ที่มีลักษณะเป็นแปรงก้านยาวใช้สำหรับทำความสะอาดบิวเรท
การใช้แปรงล้างเครื่องแก้วต้องระมัดระวังให้มาก อย่าถูแรงเกินไป
เนื่องจากก้านแปรงเป็นโลหะเมื่อไปกระทบกับแก้วอาจทำให้แตกและเกิดอันตรายได้
วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559
ความประทับใจในมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
ความประทับใจในมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
ความประทับใจในมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
ในความรู้สึกแล้วถือได้ว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดเป็นมหาลัยที่ดีมากอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยเลยในของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และของจังหวัดร้อยเอ็ดของเราเป็นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีความร่มรื่นธรรมชาติไปด้วยต้นไม้และป่าไม้ที่อยู่ภายในมหาลัย
โดย มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดของเรานั้นได้นำเอาต้นมันปลานั้น
มาเป็นต้นไม้ประจำทางมหาวิทยาลัย และใช้ดอกมันปลาเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยอีกด้วย
พื้นที่ที่มีแต่ร่มเงาจากต้นไม้ในมหาลัยยังเป็นที่ ที่สามารถที่จะพักผ่อน
ผ่อนคลาย อ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมอื่นๆ
ได้หลายอย่างด้วยกันมีสระน้ำอยู่ภายในของมหาวิทยาลัย คือ สระแก้วราชภูมิ เป็นสระที่มีลักษณะเป็นสระวงกลมที่สวยงามตั้งอยู่ใจกลางของมหาวิทยาลัย เป็นสิ่งที่สวยงามโดยไม่แพ้ทางมหาวิทยาลัยอื่นเลย
และยังเป็นที่ที่สามารถเหมาะสำหรับการวิ่งออกกำลังกายได้เป็นอย่างดี
ในเวลาตอนเย็นอากาศดีมากเหมาะสำหรับออกกำลังกายได้ดี มีวิวธรรมชาติที่สวยงาม
มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดของเรานั้นยังมีสถานที่ต่างๆ ที่น่าสนใจอีกหลายสถานที่ด้วนกัน ประกอบไปด้วย
ตึก 9
ชั้น ตึก 7 ชั้น ตึกวิทย์หลังใหม่ ตึกพยาบาล อาคารศูนย์ภาษา
ศูนย์วิทยบริการมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด รวมไปถึงหอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 60
พรรษา และบริเวณช็อปต่างๆ ภายในมหาวิยาลัยอีกด้วย และยังมีสิ่งศักดิ์ที่เรานับถือประจำมหาวิทยาลัยเราก็คือ พระนาคปรกเมืองไพร ที่เราทุกคนนั้นนับถือ บรรยากาศผู้คนที่นี่ก็น่ารักเป็นกันเองสบายๆ มีสัมมาคารวะ มีความเป็นผู้ใหญ่ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน
กับอาจารย์และนักศึกษาด้วยกัน มีความเป็นมิตรภาพที่ดีต่อกัน
ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พูดจาอัธยาศัยดี ยิ้มแย้ม ร่าเริง สดใส อยู่ทุกเวลา
มหาวิทยาลัยมีการเรียนการสอนที่ดีและมีคุณภาพเป็นอย่างมาก อาจารย์ทุกท่านในมหาวิทยาลัยก็ใจดีเป็นกันเองกับนักศึกษา พร้อมให้คำปรึกษากับนักศึกษาได้เป็นอย่างดีและยังช่วยชี้ทางที่ดีให้แก่นักศึกษาให้เป็นคนดี
มีศีลธรรม มีจิตใจดี มีสัมมาคารวะ มีความเป็นใหญ่ ความเป็นผู้นำ และมีความมุ่งมานะตั้งจิตตั้งใจในการเรียนการศึกษาหาความรู้
เพื่อที่นำความรู้ที่เราจบออกไปแล้วสามารถนำวิชาความรู้ที่ได้มานั้น
ไปทำงานที่ดีและสามารถไปประกอบอาชีพที่ดีถูกต้องและสุจริต ในวันข้างหน้าต่อไป
มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดของเรานั้นคือการที่ได้เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย
จะอยู่ในคณะใดหรือสาขาวิชาใด ก็ถือได้ว่ามีความภาคภูมิใจและมีความประทับใจที่มีต่อมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดที่ดีเป็นอย่างมาก
![]() |
ศาลเจ้าพ่อมันปลา เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมหาวิทยาลัย |
![]() |
พระนาคปรกเมืองไพร เป็นสถานที่กราบไหว้ขอพรของมหาวิทยาลัย |
วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559
10 อันดับนักฟุตบอลที่หล่อที่สุดในโลก จากการจัดอันดับปี 2015
10 อันดับนักฟุตบอลที่หล่อที่สุดในโลก
จากการจัดอันดับปี 2015
Cesc Fabregas - Chelsea
Football Club
เริ่มต้นในอันดับ 10 กับอดีตกัปตันทีมอาร์เซนอล นักฟุตบอลชาวสเปน ที่ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลเชลซี
ในพรีเมียร์ลีก นอกจากเขาจะเป็นกองกลางฝีเท้าดีแล้ว เชสก์ ฟาเบรกาส
ยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่หล่อที่สุดในโลกอีกด้วย
Gerard Pique – FC Barcelona
อันดับที่ 9 เคราร์ด ปิเก้ นักฟุตบอลจากทีมเอฟซี บาร์เซโลนา
และทีมชาติสเปน แฟนหนุ่มของนักร้องสาว Shakira นอกจากจะเป็นหนึ่งในกองหลังที่เล่นได้อย่างตื่นตาตื่นใจแล้ว
ยังถือเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่หล่อมากคนหนึ่ง ด้วยตาสีฟ้าของเขา
และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่หล่อที่สุดในโลก
Matts Hummels – Borrussia Dortmund
อันดับ 8 มัทส์ ฮุมเมิลส์ กองหลังและกัปตันทีม Borrussia
Dortmund นักฟุตบอลชาวเยอรมัน แม้ฟอร์มกับสโมสรในปัจจุบันจะไม่ดีนัก
แต่ เสนห์ของฮุมเมิล ก็ได้รับการโหวตจากสาวๆ ให้มาอยู่ในอันดับ 8 ของนักฟุตบอลที่หล่อที่สุดในโลก
Mario Gotze – Bayern Munich
อันดับ 7 กับอีกหนึ่งนักฟุตบอลทีมชาติเยอรมัน มาริโอ เกทเซ
กองกลางผู้ยิงประตูชัย ช่วยให้เยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ผ่านมา
และเขายังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่หล่อที่สุดในโลก ปี 2015 นี้
Fernando Torres – Atletico Madrid
อันดับ 6 เจ้าของฉายา เอลนิโญ่ เฟอร์นันโด ตอร์เรส
กองหน้าคนใหม่ แต่หน้าเก่า คนล่าสุดของ Atletico Madrid แม้ฟอร์มช่วงหลายปีมานี้จะหล่นหาย เล่นได้ไม่เหมือนเดิม แต่ตอร์เรส
ก็ยังได้รับการโหวตจากแฟนฟุตบอลสาวๆ ให้ติดอันดับหนึ่งใน 10 ของนักฟุตบอลที่หล่อที่สุดในโลกของปีนี้
Robin Van Persie – Manchester United
อันดับ 5 ตกเป็นของ โรบิน ฟานเพอร์ซี่ กองหน้าทีมปีศาจแดง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทีมชาติฮอลแลนด์ แม้ทำได้แค่เพียงที่ 3 ในฟุตบอลโลกครั้งที่ผ่านมา แต่ด้วยรอยยิ้ม และเสน่ห์เฉพาะของเขา
ที๋โดนใจสาวๆ แฟนฟุตบอล และได้รับเลือกให้ติดหนึ่งใน 10 นักฟุตบอลที่หล่อที่สุดในปีนี้
Iker Casillas – Real Madrid
อันดับ 4 ตกเป็นของอีกหนึ่งหนุ่มหล่อจากสเปน อิเกร์ กาซิยาส
กัปตันทีม เรอัล มาดริด และทีมชาติสเปน หนึ่งในมือโกล์ ที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในโลก
และได้รับการโหวตให้เป็นหนึ่งใน 10 ของนักฟุตบอลที่หล่อที่สุดในโลกเช่นกัน
David Villa – New York City
อันดับ 3 ดาบิด บีย่า นักฟุตบอลหนุ่มหน้าตาแบดบอย
ที่ขณะนี้ย้ายไปเล่นให้กับทีม นิวยอร์คซิตี้ ในเมเจอร์ลีกซอคเกอร์ที่อเมริกา
ถูกโหวตให้เป็นนักฟุตบอลหล่ออันดับ 3 สำหรับปีนี้
ด้วยบุคลิกหน้าตาและทรงผมที่ดูตื่นตาตื่นใจ
Ricardo Kaka – Orlando City
อันดับ 2 กาก้า นักฟุตสุดหล่อจากอดีตทีมเรอัล
มาดริดที่หล่อติดทำเนียบมาหลายปี แม้ตอนนี้จะอายุเยอะขึ้น
และปัจจุบันย้ายไปเล่นให้กับทีม ออร์แลนโดซิตี้ ทำให้ข่าวคราวหายไปบ้าง
แต่ด้วยหน้าตา รูปลักษณ์ที่ดีทั้งในและนอกสนาม บวกด้วยทรงผมใหม่ที่ดูแปลกตา
ทำให้หนุ่มกาก้า ได้รับเสียงโหวตจากบรรดาสาวๆ แฟนฟุตบอล และเป็นหนึ่งในหนุ่มนักฟุตบอลที่หล่อที่สุดในทำเนียบปี
2015 นี้
Cristiano Ronaldo – Real Madrid
อันดับ 1 ตกเป็นของเจ้าของรางวัลบอลทองคำคนล่าสุด
และดาวซัลโวคนปัจจุบันของทีมเรอัล มาดริด อย่าง คริสเตียนโน
โรนัลโด้ ที่ได้รับเสียงโหวตจากสาวๆ ให้ติดอันดับ 1 ของนักฟุตบอลที่หล่อที่สุดในโลก
ปี 2015 นี้ ด้วยใบหน้าสุดหล่อเหลา
หุ่นดี และทรงผม ที่ถูกใจสาวๆ
และทั้งหมดนี้ คือ 10 อันดับนักฟุตบอลที่หล่อที่สุดในโลก จากการจัดอันดับปี 2015 ท่านอ่านแล้วมีนักฟุตบอลในดวงใจติดอันดับกันบ้างไหม สำหรับตอนนี้ขอจบเพียงเท่านี้
เดียวจะหาข้อมูลใหม่ๆมา ให้ชมกันต่ออีกแต่นอน ขอขอบคุณทุกๆ
ท่านที่ติดตามอ่านนะครับ
“หากอันดับไหนไม่ถูกใจก็ขออภัยมานะที่นี้ด้วยนะครับ”
นักฟุตบอลที่ชื่นชอบในดวงใจ
Ricardo Kaka กาก้า แต่งงานกับ คาโรลีน เซลิโก้ ณ โบถศ์คริสต์แห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 23ธันวาคมปี 2005,2ปีหลังจากที่ กาก้า ย้ายจาก เซาเปาโล มาเล่นให้กับ เอซี มิลาน . คาโรลีน นั้นเกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 1987ที่โรซานเกล่า ลีร่า เธอทำงานอยู่กับสินค้า แบรนด์ดังอย่าง คริสเตียน ดิออร์ ในบราซิล ซึ่งเธอเป็นหนึ่งในผู้บริหารกิจการด้วย โดยหล่อนนั้นตั้งเป้าไว้ว่าจะเรียนให้จบปริญญาด้านบริหารธุรกิจ ที่มหาวิทยาลัยในเมือง มิลานด้วย
ทั้งคู่พบกันเมื่อปี 2001ซึ่งขณะนั้น คาโรลีน เป็นนักศึกษาอยู่และ กาก้า นั้นยังเล่นฟุตบอลให้กับ เซา เปาโล อยู่ ในงานแต่งงานของทั้งคู่มีแขกผู้มีเกียรติ มาร่วมงานกว่า 600คนและบรรดาแขกนั้นมีนักเตะเพื่อนร่วมทีมชาติอย่าง คาฟู ,โรนัลโด้ ,อาเดรียโน่ ,ดิด้า ,ชูลิโอ บาปติสต้า และยังมี อดีตโค้ชทีมชาติอย่าง คาร์ลอส อัลเบอร์โต้ ปาร์ไรร่า มาร่วมงานด้วย
กาก้า นั้นถือว่าเป็นคริสเตียนที่เคร่ง ศาสนามากคนหนึ่งเลยทีเดียว ในเวลาที่เล่นกีฬาเขามักจะสวมเสื้อที่มีสกรีนคำว่า I Belong to Jesus (สาวกของพระเจ้า)อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นครั้งเมื่อพาบราซิลคว้าแชมป์โลกปี 2002หรือตอนที่ได้แชมป์ลีก กับ มิลานเมื่อปี2004 และเช่นเดียวกันที่สตั๊ดของเขาก็จะมีคำนี้เขียนอยู่ตรงลิ้นรองเท้าด้วย .และทุกครั้งที่เขาทำประตูได้ก็จะชี้นิ้งขั้นไปบนฟ้าเป็นสัญลักษณ์ว่า"ขอบคุณพระเจ้า"เสมอ
กาก้า ลงเล่นเปิดตัวกับ เซา เปาโล ครั้งแรกเมื่อปี 2001เมื่ออายุได้ 18ปีและในฤดูกาลแรกเขาก็ยังไป 12ลูกจาก 27เกมที่ลงเล่น และ 10ประตู จาก22เกมในซีซั่นถัดมา ซึ่งในขณะที่เขาอายุ 17นั้นทางต้นสังกัด เซา เปาโล เกือบที่จะขาย กาก้า ไปให้กับ กาซิอันเทปสปอร์ ทีมในดิวิชั่น 1ตุรกี แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะ นูรัลลาห์ ซาแกลม กุนซือทีม กาซิอันเทปสปอร์ ขณะนั้น และทางบอร์ดบริหารของทีมนั้นปฏิเสธที่จะจ่ายเงินจำนวน 1.5ล้านเหรียญ ยูเอส (ประมาณ 60ล้านบาท)ให้กับ เซา เปาโล ซึ่งหลังจากที่ได้เล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ เซา เปาโล ฟอร์มของเขาก็เริ่มไปเตะตาบรรดาทีมใหญ่ในยุโรป

กาก้า เป็นหนึ่งใน 5แผงมิดฟิลด์ของมิลาน ในฤดูกาล 2004-2005 และบ่อยครั้งที่ต้องขึ้นไปเล่นเป็นหน้าต่ำเพื่อสนับสนุน อังเดร เชฟเชนโก้ หัวหอกของทีมในเวลานั้น .และฤดูกาลที่สองของเขานั้นก็จบลงที่การยิงไป 7ลูกจาก 36เกมที่ลงเล่นและมีถ้วย อิตาเลียน ซุปเปอร์ คัพ ติดมือมาด้วย .โดยในลีก มิลาน จบอันดับที่ 2ตามหลัง ยูเวนตุส ทีมแชมป์และต้องพลาดการคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก ไปอย่างน่าเสียดายเมื่อแพ้จุดโทษต่อ ลิเวอร์พูลไปในรอบชิงชนะเลิศ .แต่ กาก้า ก็ได้รับเลือกให้เป็นกองกลางยอดเยี่ยมประจำทัวนาเมนต์ปีนั้น และในการประกาศผู้ได้รับรางวัล ลูกบอลของคำ ปีเดียวกัน กาก้านั้นได้รับการโหวต ทั้งหมด 19คะแนนและรั้งอยู่ในอันดับที่ 9
หนึ่งในประตูที่ กาก้า ทำได้ในชุดมิลานนั้นมีอยูประตูหนึ่งในนัดที่พบกับ เฟเนบาร์เช่ ในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2005/06 ที่ทีมรอสโซเนโร่ พิชิตทีมแดนไก่งวงไปได้ 3-1.ประตูที่เกิดขึ้นนี้มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนนำไปเปรียบเทียบกับ ดีเอโก้ มาราโดน่า โดย กาก้า ลากบอลจากแดนกลางผ่านผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามถึง 3รายก่อนที่จะหลุดเข้าเขตโทษไปยิงผ่านผู้รักษาประตู โวลคาน เดมิเรล เข้าไป .และใน วันที่ 9เมษายน 2006 กาก้า ก็ซัดแฮตทริกแรกในการเล่นให้ มิลาน ได้สำเร็จในการพบกับ เวโรน่า โดยทั้ง 3ลูกมาจากการยิงในครึ่งหลังทั้งหมด
ในปี 2006นี้ รีล มาดริด ยักษ์ใหญ่จากสเปนแสดงความสนใจที่จะคว้าตัว กาก้า ไปร่วมทัพ แต่ทาง มิลาน ก็ปฏิเสธกลับไป โดยการจับดาวเตะวัย 24ปีรายนี้เซ็นสัญญาใหม่ที่จะทำให้เจ้าตัวอยู่กับทีมไปจนกระทั้งปี 2011 ต่อมา ในวันที่ 1พฤศจิกายน ปีเดียวกัน กาก้า ก็จัดการทำแฮตทริกที่สองให้กับตัวเองในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ อันเดอร์เลช ที่ทีมจาก อิตาลี เอาชนะไปได้ 4-1 และเป็นแฮตทริกแรกในบอลยุโรปของ ดาวเตะรูปหล่อรายนี้ด้วย
กาก้า ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี 2006จากบรรดาสื่อมวลชน โดยมีการทำโพลของ"โอ โกลโบ"นิตยสารในบราซิล ในหัวข้อที่ว่า"ใครคือผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก"ซึ่งจากผลสำรวจปรากฏว่า กาก้า ได้รับการโหวตถึง 81.5เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่2นั้นเป็น โรนัลดินโญ่ ทีได้ 11เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมี กัซเซ็ตต้า เดลโล่ สปอร์ต สื่อกีฬายักษ์ใหญ่ของอิตาลี ที่ตั้งหัวข้อสำรวจเดียวกัน และ กาก้า ก็ติดอยู่ในกลุ่มผู้เล่นยอดเยี่ยมที่ได้รับการโหวตเหมือนเดิม
![]() |
นักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป ในปี 2007 |
และหลังจากนั้น คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือของ มิลาน ก็ออกมายกย่องลูกทีมของตนเองว่า กาก้านั้นเป็นผู้เล่นที่สมควรจะได้รางวัลฟุตบอลทองคำในปี 2006มากที่สุด แต่ก็ไม่เป็นไปมคาดเมื่อ ซีเนดีน ซีดาน เป็นผู้คว้ารางวัลนี้ไปครอง
![]() |
กาก้าย้ายจากทีม AC Milan มาสู่ทีม Real Madrid ด้วยค่าตัว 65 ล้านปอนด์ |
ข่าวคราวของกาก้าค่อนข้างที่จะเงียบหายไปในช่วงปี 2008-2009 มิลานไม่ได้แชมป์อะไรเท่าไหร่ แต่ช่วงกลางปี ก็ตกเป็นข่าวดังอีกครั้งหนึ่ง เมื่อฟลอเรนติโน่ เปเรซ ซึ่งกลับมาดำรงตำแหน่งประธานสโมสรอีกครั้ง ซื้อตัวกาก้า เพื่อเข้ามาตามการทำทีมแบบ "กาลาคติกอส" หรือทีมรวมซูเปอร์สตาร์ ในค่าตัวสูงถึง 56 ล้านปอนด์ หรือ 67.2 ล้านยูโร เข้ามาร่วมทีมเป็นรายแรก เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ก่อนที่จะซื้อตัวโรนัลโด้ จากทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นรายต่อมา ซึ่งกับทีมราชันนั้น กาก้า ได้สวมเสื้อเบอร์ 8 และเป็นกำลังหลัก ให้กับทีมดังแดนสเปน และเมื่อปี 2013 กาก้าได้ย้ายกลับไปยังทีม มิลาน อีกครั้ง โดยไม่มีค่าตัวและได้ลงเล่นให้กับ มิลาน ในปี 2013 ก่อนที่มิลาน จะปล่อมตัวเขาให้กับทีม เซา เปาโล ยืมตัวไปใช้งานหนึ่งฤดูกาลที่บราซิล ก่อนที่จะกลับมายัง มิลาน ในปี 2014 และมิลานก็ต้องตอบตกลงที่จะขายตัว KAKA ให้กับทีมในสหรัฐ อเมริกา ซึ่งสนใจในตัวของนักเตะรายนี้ไปร่วมทีม และในขณะนี้ เขาได้ย้ายไปรวมทีม Orlando City ที่เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกา ณ ปัจจุบัน
สโมสรฟุตบอลที่ชื่นชอบ

ในปัจจุบันถ้าพูดถึงเรื่องฟุตบอลแล้วข่าวคราวเรื่องการย้ายนักเตะที่เป็นที่จับตามองในทุกๆครั้งนั้นย้อมเป็นทีมราชันชุดขาว รีลมาดริด หรือ เรอัลมาดริดเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศสเปน ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงมาดริดเมืองหลวงของประเทศสเปน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1902 เล่นในลาลีกา และเป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการฟุตบอลศตวรรษที่ 20 โดยสามารถคว้าแชมป์ลาลีกาได้ทั้งสิ้น 32 สมัย ถ้วยโกปาเดลเรย์ 17 ครั้ง และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 10 สมัยซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดของรายการ
![]() |
WINNER UEFA SUPER CUB 2014 |
นอกจากนั้นเรอัลมาดริดยังได้เป็นสมาชิกของกลุ่มจี -14 ซึ่งเป็นกลุ่มของสโมสรฟุตบอลชั้นนำของยุโรปอีกด้วย สนามเหย้าของสโมสรคือสนามซานเตียโก เบร์นาเบวอันมีชื่อเสียงแห่งกรุงมาดริด เรอัลมาดริดเป็นสโมสรที่มีหุ้นส่วนเป็นเจ้าของและเป็นผู้ดำเนินการมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1902 ซึ่งแตกต่างกับสโมสรส่วนใหญ่และเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 2000 ฟีฟ่าได้จัดว่าเรอัลมาดริดเป็นสโมสรที่ดีที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 ราชันชุดขาวนั้นเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์รายการแข่งขันของยูฟ่าด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 10 สมัยและยูฟ่าคัพ 2 สมัย ซึ่งมากกว่าสโมสรอื่นๆทุกสโมสรที่เคยได้แชมป์ และมีเพียงโทรฟียุโรปเดียวที่เรอัลมาดริดยังไม่เคยได้นั่นคือยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพซึ่งมีสิทธิ์เล่น 2 ครั้งแต่ก็พ่ายไปทั้งสองนัดโดยครั้งแรกแพ้ให้กับเชลซี 2-1 ในปีค.ศ. 1971 และเสมอ 1-1 ในนัดแรกก่อนที่จะแพ้ 1-0 ในนัดที่สองให้กับแอเบอร์ดีนด้วยประตูรวม 2-1 ในปีค.ศ. 1983
ปี 2014 รางวัล ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ
ต้นกำเนิดของสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด
ต้นกำเนิดของสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดต้องย้อนกลับไปในช่วงที่กีฬาฟุตบอลได้ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในกรุงมาดริด โดยนักวิชาการและนักศึกษาของ อินสตีตูซีชัน ลีแบร์ เดอ เอนเซนานซา ซึ่งรวมถึงนักคึกษาของมหาวิทยาลัยเคมบริดจฺ์และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยต่างๆที่สำเร็จการศึกษา พวกเขาร่วมตัวกันสร้างสโมสรฟุตบอลขึ้นในปีค.ศ. 1897 โดยเล่นกันเป็นประจำในวันอาทิตย์ตอนเช้าที่มอนโกลาและต่อมาได้มีการแยกตัวออกเป็น 2 สโมสรในปีค.ศ. 1900 โดยสโมสรหลักของกรุงมาดริดที่ผู้คนนิยมสนับสนุนได้มีชื่อว่า นิว ฟุตบอล เด มาดริดและอีกสโมสรหนึ่งคือ กลุบ เอสปาญอล เดอ มาดริดนั้นเอง ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1902
![]() |
REAL MADRID ในยุคเริ่มต้น |
หลังจากที่คณะกรรมการใหม่อย่าง ควน ปาดรอส ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานสโมสรคนแรกของสโมสรและวันนั้นเป็นวันที่ก่อตั้งสโมสรอย่างเป็นทางการ สามปีหลัง
หลังจากที่สโมสรมาดริดก่อตั้งขึ้นในปี 1905 สโมสรมาดริดสามารถชนะครั้งแรกในเกมส์การแข่งขันที่พบกับ แอทเลติกบิลเบาในการแข่งขันสเปนนิชคัพรอบชิงชนะเลิศ สโมสรก็ได้กลายเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลสเปนที่ได้เข้าร่วมกับสหพันธ์ฟุตบอลแห่งชาติสเปนในวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1909 เมื่อประธานสโมสร อาโดลโฟ เมเลนเดซ ลงนามข้อตกลงตามรากฐานของสเปนเอฟเอคัพหลังจากย้ายสนามของทีมไปอยู่ที่ "คัมป์โป เดอ ดอนเนลล์" ในปี ค.ศ. 1912 และในปี 1920 สโมสรได้เปลี่ยนชื่อเป็น "เรอัลมาดริด" หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าอัลฟองโซที่ 13 แห่งสเปนรับตำแหน่งรอยัลของสโมสร ต่อมาในปี 1929 การแข่งขันครั้งแรกของสเปนนิชฟุตบอลลีกได้ก่อตั้งขึ้น ในช่วงนัดแรกของฤดูกาลจนถึงนัดสุดท้ายเรอัลมาดริดสามารถครองอันดับที่ 1 มาตลอดฤดูกาลแต่การมาพ่ายในนัดสุดท้ายที่พบกับแอทเลติกบิลเบานั้นจึงทำให้ได้แค่อันดับที่ 2 และสโมสรต้องเสียแชมป์ไปให้กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาไปอย่างน่าเสียดาย ต่อมาเรอัลมาดริดสามารถได้แชมป์ลีกสเปนได้ครั้งแรกในปี 1931 และในปีถัดมาพวกเขาก็สามารถคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน นั้นจึงทำให้สโมสรเรอัลมาดริดเป็นทีมแรกในลีกของสเปนที่คว้าแชมป์ลีกติดต่อกันสองสมัย ในวันที่ 14 เมษายนปี 1931 การมาถึงของสงครามโลกก่อให้เกิดการสูญเสียของสโมสรจึงทำให้สโมสรเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อ มาดริด ฟุตบอล คลับ การแข่งขันฟุตบอลยังมีอยู่ต่อเนื่องหลังจากผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 และในวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1943 สโมสรมาดริดสามารถเอาชนะ สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาไปถึง 11-1 ในนัดที่สองของรอบก่อนชิงงชนะเลิศในการแข่งขัน โกปาเดล เกเนราลีซีโมหรือโกปาเดลเรย์
หลังจากที่สโมสรมาดริดก่อตั้งขึ้นในปี 1905 สโมสรมาดริดสามารถชนะครั้งแรกในเกมส์การแข่งขันที่พบกับ แอทเลติกบิลเบาในการแข่งขันสเปนนิชคัพรอบชิงชนะเลิศ สโมสรก็ได้กลายเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลสเปนที่ได้เข้าร่วมกับสหพันธ์ฟุตบอลแห่งชาติสเปนในวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1909 เมื่อประธานสโมสร อาโดลโฟ เมเลนเดซ ลงนามข้อตกลงตามรากฐานของสเปนเอฟเอคัพหลังจากย้ายสนามของทีมไปอยู่ที่ "คัมป์โป เดอ ดอนเนลล์" ในปี ค.ศ. 1912 และในปี 1920 สโมสรได้เปลี่ยนชื่อเป็น "เรอัลมาดริด" หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าอัลฟองโซที่ 13 แห่งสเปนรับตำแหน่งรอยัลของสโมสร ต่อมาในปี 1929 การแข่งขันครั้งแรกของสเปนนิชฟุตบอลลีกได้ก่อตั้งขึ้น ในช่วงนัดแรกของฤดูกาลจนถึงนัดสุดท้ายเรอัลมาดริดสามารถครองอันดับที่ 1 มาตลอดฤดูกาลแต่การมาพ่ายในนัดสุดท้ายที่พบกับแอทเลติกบิลเบานั้นจึงทำให้ได้แค่อันดับที่ 2 และสโมสรต้องเสียแชมป์ไปให้กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาไปอย่างน่าเสียดาย ต่อมาเรอัลมาดริดสามารถได้แชมป์ลีกสเปนได้ครั้งแรกในปี 1931 และในปีถัดมาพวกเขาก็สามารถคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน นั้นจึงทำให้สโมสรเรอัลมาดริดเป็นทีมแรกในลีกของสเปนที่คว้าแชมป์ลีกติดต่อกันสองสมัย ในวันที่ 14 เมษายนปี 1931 การมาถึงของสงครามโลกก่อให้เกิดการสูญเสียของสโมสรจึงทำให้สโมสรเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อ มาดริด ฟุตบอล คลับ การแข่งขันฟุตบอลยังมีอยู่ต่อเนื่องหลังจากผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 และในวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1943 สโมสรมาดริดสามารถเอาชนะ สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาไปถึง 11-1 ในนัดที่สองของรอบก่อนชิงงชนะเลิศในการแข่งขัน โกปาเดล เกเนราลีซีโมหรือโกปาเดลเรย์
![]() |
Santiago Bernabeu สนามเหย้าของทีมราชันย์ ชุดขาว |
หลังจากนั้นซานเตียโก เบร์นาเบว เยสเต ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานของสโมสรเรอัลมาดริดในปี 1945 ภายใต้ประธานสโมสรเขาได้ลงทุนสร้างสนามกีฬา ซานเตียโก เบร์นาเบว และสิ่งอำนวยความสะดวกการฝึกอบรม คีอูดาด เดปอร์ตีวา เรอัลมาดริด ถูกสร้างขึ้นมาใหม่หลังจากที่สงครามกลางเมืองสเปนได้สงบศึกลงซึ่งความมีเสียหายตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 นอกจากนั้นเขาตัดสินใจไปกับกลยุทธ์ด้านการเงินของเขาด้วยการซื้อผู้เล่นในผู้เล่นระดับโลกจากต่างประเทศที่โดดเด่นที่สุดอย่าง อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน เข้ามาร่วมทีม สโมสรสมารถชนะเลิศและคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกได้ 5 สมัยในช่วงปี 1956 ถึง 1960 ซึ่งรวมถึงการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่ชนะ ไอน์ทรัต แฟรงค์เฟิร์ต 7-3 ที่แฮมป์เดนพาร์กในปีค.ศ. 1960 หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ห้าสมัยติดต่อกันจริงอย่างถาวรทำให้สโมสรได้รับรางวัลถ้วยเดิมและได้รับสิทธิในการสวมใส่ เกียรติตรายูฟ่า ซึ่งมีเพียงสโมสรเดียว สโมสรสามารถคว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่หกได้ในปี ค.ศ. 1966 ด้วยการชนะ พาร์ทีซาน เบลกราเด ไป 2-1 ในรอบชิงชนะเลิศซึ่งเป็นครั้งที่สโมสรส่งผู้เล่นสัญชาติสเปนทั้งหมดลงทำการแข่งขัน ในปีช่วงทศวรรษที่ ค.ศ. 1970, เรอัลมาดริดสามารถคว้าแชมป์ลีกสเปนได้ถึง 5 สมัยและสเปนนิชคัพได้ 3 สมัย สโมสรได้มีสิทธิไปเล่นในรายการยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพครั้งแรกในปี ค.ศ. 1971 และก็ต้องพ่ายให้กับสโมสรฟุตบอลเชลซีจากอังกฤษไป 2-1 หลังจากนั้นในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1978 ประธานสโมสร ซานเตียโก เบร์นาเบวได้เสียชีวิตลงในขณะที่ฟุตบอลโลกกำลังแข่งขันที่ประเทศอาร์เจนตินา ประเทศพันธมิตรของสมาคมฟุตบอล (ฟีฟ่า) กำหนดไว้สามวันของการไว้ทุกข์เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาในระหว่างการแข่งขัน หลังจากปี ค.ศ. 1999 ที่สโมสรคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นสมัยที่ 8 ของสโมสรด้วยการเอาชนะบาเลนเซียสโมสรร่วมชาติเดียวกันได้ 3-0 เลยทีเดียว
![]() |
ประธานสโมสร โฟลเรนตีโน เปเรซ |
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2000 สโมสรเรอัลมาดริดได้แต่งตั้งประธานสโมสรคนใหม่คือโฟลเรนตีโน เปเรซและยังได้ถูกรับเลือกว่าเป็นนักธุรกิจชาวสเปนที่รวยที่สุดในประเทศสเปน ณ เวลานั้นอีกด้วย ก่อนที่เขาจะมาดำรงตำแหน่งประธานสโมสรในระหว่างหาเสียงของเขาเขาสัญญว่าจะลบหนี้ต่างๆของสโมสรและสร้างสิ่งที่ทันสมัยและสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่สโมสรแทน ในปีถัดมาสโมสรเรอัลมาดริดได้สร้างค่ายฝึกอบรมใหม่และใช้เงินที่พวกเขาสามารถมีอยู่จากปีก่อนที่ด้วยการจัดการสรรหาดาวผู้เล่นที่ นักข่าวสเปนเรียกว่าวิธี ลอส กาลาตีกอส โดยมีชื่อนักเตะชื่อดังในยุคนั้นอาทิเช่น ซีเนดีน ซีดาน, โรนัลโด, เดวิด เบคแคม, ฟาบีโอ กันนาวาโร, ลูอีช ฟีกู, โรเบร์ตู การ์ลูส และ ราอุล กอนซาเลซ อาจจะมีการนักข่าวบางส่วนอภิปรายเมื่อผู้เล่นถูกซื้อโดยเปเรซเล่นล้มเหลวในการสนับสนุนความสำเร็จของสโมสร แต่เปเรซก็ใช้คำสบประมาทของนักข่าวด้วยการนำสโมสรเรอัลมาดริดคว้าแชมป์ยูโรเปียนส์คัพเป็นสมัยที่ 9 ของสโมสรและคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้ได้หนึ่งในปี ค.ศ. 2002 ในปีถัดมาสโมสรก็สามารถคว้าแชมป์ ลาลีกา แต่สโมสรก็ล้มเหลวที่จะคว้าแชมป์รางวัลที่สำคัญสำหรับในสามฤดูกาลถัดมา ในปี ค.ศ. 2006 สโมสรได้แต่งตั้งประธานสโมสรคนใหม่แทนเปเรซคือ รามอน คาลเดอร์รอน และสโมสรสามารถกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งในรายการลาลีกา ด้วยฝีมือการคุมทีมของ ฟาบีโอ กาเปลโล ที่ตัดสินใจกลับมาคุมทีมอีกครั้ง
![]() |
Real Madrid กาลาคติกอส |
โดยในฤดูกาลนี้สโมสรขายนักเตะชื่อดังหลายคนไปมากมายไม่ว่าจะเป็น เดวิด เบคแคม, ลูอีช ฟีกู, โรนัลโด และ ซีเนดีน ซีดาน ที่ได้ขอเลิกเล่นฟุตบอลกับสโมสรแล้วแขวนสตัดไป แต่กาเปลโลก็สามารถหาซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเสริมแทนตำแหน่งเดิมได้หลายคน อาทิเช่น กอนซาโล อีกวาอิน กองหน้าชาวอาร์เจนตินา, มาร์เซลู วีเอรา กองหลังชาวบราซิล, รุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้าชาวดัตช์จากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ในขณะนั้นกำลังฟอร์มดี และเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2009 โฟลเรนตีโน เปเรซ อดีตประธานคนเก่าของสโมสรได้กลับมารับดำรงตำแหน่งประธานสโมสรอีกครั้งโดยการกลับมาในครั้งนี้เปเรซมีแผนที่จะสร้าง กาลาตีกอส ซึ่งเป็นนโยบายการซื้อนักเตะที่มีทักษะและฝีมือชั้นยอดเข้ามาสู่สโมสรโดยคนแรกที่เข้าซื้อมาคือ กาก้า กองกลางตัวรุกจากเอซี มิลาน ด้วยค่าตัว 65 ล้านปอนด์
![]() |
Ricardo Kaka |
และ คริสเตียโน โรนัลโด ปีกริมเส้นจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์และได้เซ็นสัญญากับ มานวยล์ เปเยกรีนี ผู้จัดการทืมชาวชิลีเป็นเวลาหนึ่งฤดูกาลซึ่งเปเยกรีนีก็ทำผลงานได้ดีในการคุมสโมสรด้วยการจบอันดับที่ 2 ในลาลีกาหลังจากสัญญาการคุมทีมของเปเยกรีนีได้หมดลง เปเรซก็ตัดสินใจเซ็นสัญญากับ โชเซ มูรีนโย อดีตผู้จัดการทีมของสโมสรฟุตบอลเชลซีชาวโปรตุเกสในช่วงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 ซึ่งช่วงนั้นมูรีนโยกำลังอยู่ในช่วงที่ดีอย่างมาก มูรีนโยสามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้อย่างต่อเนื่องโดยในฤดูกาล 2011-2012 เรอัลมาดริดสามารถคว้าแชมป์ลาลีกามาได้เป็นสมัยที่ 32 ของสโมสร
![]() |
Cristiano Ronaldo |
ในประวัติศาสตร์การแข่งขันลาลีกาและจบอันดับ 1 ของฤดูกาลด้วยการมีคะแนนทั้งหมด 100 คะแนน จากทั้งหมด 114 คะแนนและยิงประตูคู่แข่งได้มากถึง 121 ประตูเสียประตูให้คู่แข่งไป 32 ประตูและคริสเตียโน โรนัลโด กลายเป็นผู้เล่นที่เร็วที่สุดในการทำประตูมากกว่า 100 ลูก ในประวัติศาสตร์ลีกสเปนยังเป็นผู้เล่นที่ทำประตูได้โดยโรนัลโดทำประตู 101 ประตูจากการลงเล่นแค่ 92 โดยทำให้โรนัลโดแซงสถิติของ เฟเรนส์ ปุชคัช อดีตนักฟุตบอลชาวฮังการีของสโมสรที่สามารถทำประตูที่ 100 จากการลงเล่น 105 นัด แล้วโรนัลโดยังเป็นผู้เล่นคนแรกของสโมสรที่ทำประตูสูงสุดในหนึ่งปีถึง60 ประตูและโรนัลโดยังเป็นผู้เล่นคนแรกที่ยิงประตูคู่แข่งทั้ง 19 สโมสรในลาลีกาเพียงฤดูกาลเดียวอีกด้วย
และเมื่อปี 2013
เรอัล มาดริด ได้มีการซื้อขายตัวนักเตะเกดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ทีมได้มีการซื้อตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทางสโมสรเลยทีเดียวเป็นการซื้อขายตัวนักเตะที่เป็นสถิติโลกอีกครั้งหนึ่งด้วยค่าตัวอันมากมายมหาศาลที่ไม่มีสโมสรไหนทำได้มาก่อนนักเตะที่ทางสโมสรซื้อตัวมาร่วมทีม
ก็คือ Gareth Bale โดยมีการซื้อตัวมาจากทีม Tottenham
Hotspur จากอังกฤษ โดยทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2
กันยายน 2013 ด้วยค่าตัวอันเป็นสถิติโลก ณ ปัจจุบัน ด้วยค่าตัว 85.3
ล้านปอนด์
ซึ่งทำลายเจ้าของสถิติของคนก่อนหน้านี้อย่าง Cristiano Ronaldo ที่ย้ายจากทีม Manchester
United มาร่วมทีม Real Madrid เมื่อปี 2009
ด้วยค่าตัวสูงเป็นสถิติโลกในตอนนั้น ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ และ ณ ตอนนี้ยังไมมีใครสามารถทำลายสถิติโลกสูงสุดของ Gareth
Bale ลงได้นับตั้งแต่เขาได้มีการย้ายมาร่วมทีม ราชันย์ ชุดขาว
ในตอนนี้และได้ลงเล่นให้กับทีมในเวลานี้รับใช้ต้นสังกัดของเขากับ Real
Madrid ณ ปัจจุบัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)